ใครๆ ก็อยากมีฟันสวย และยิ้มงามๆ ปัจจุบัน มีเทคโนโลยีทางทันตกรรมที่หลากหลาย สามารถสร้างรอยยิ้มที่สวยงาม ควบคู่ไปกับสุขภาพฟันที่แข็งแรง ภายใต้การดูแลของทีมทันตแพทย์ในแต่ละสาขา
การผนวกงานทันตกรรมในแต่ละสาขา เพื่อปรับเปลี่ยน สีฟัน, ผิวฟัน, รูปร่างฟัน, หรือการเรียงตัวของฟัน จัดเป็นการบูรณะฟันเพื่อความสวยงาม โดยใช้ศาสตร์และศิลป์ จากงานทันตกรรมในด้านต่างๆ ดังนี้
การฟอกสีฟัน เป็นการปรับเปลี่ยน สีฟันให้ขาวขึ้น โดยทันตแพทย์และผู้รับการรักษา สามารถร่วมกันกำหนดระดับความขาวที่ต้องการได้ ซึ่งขึ้นกับการเลือกวิธีการฟอกสีฟัน ดังนี้
- การฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์ (In-office Bleaching)
- การฟอกสีฟันด้วยตนเอง (Home Bleaching )
- การฟอกสีฟันร่วม (In-office Bleaching และ Home Bleaching )
การฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์
เป็นการฟอกสีฟันในคลินิกทันตกรรม โดยใช้แสงในระดับความยาวคลื่นที่แตกต่างกันไปในเครื่องฟอกสีฟันแต่ละชนิด แสงเหล่านี้จะกระตุ้นปฏิกิริยาของสารฟอกสีฟันบนผิวเคลือบฟัน โดยมีขั้นตอนการทำ ดังนี้
- ทันตแพทย์ตรวจสุขภาพช่องปาก และบันทึกสีฟันก่อนการรักษา
- ทันตแพทย์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องฟอกสีฟันแต่ละชนิด และกำหนดระดับความขาว ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในขั้นต่ำ
- หากผิวฟันมีคราบหินปูน หรือคราบสีอาหาร จำเป็นต้องได้รับการขูดหินปูนก่อนการฟอกสีฟัน
- การขัดฟันเพื่อกำจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์
- การป้องกันเหงือก และบริเวณรอบๆ ด้วยเรซิน
- การทาน้ำยาฟอกสีฟันลงบนผิวฟัน
- การฉายแสงจากเครื่องฟอกสีฟันเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาของน้ำยาฟอกสีฟัน โดยในขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1:30 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเครื่องฟอกสีฟันแต่ละชนิด
- การเคลือบผิวฟันด้วยฟลูออไรด์เจล หรือ แคลเซียมเจล
เครื่องฟอกสีฟันที่เขารังทันตคลินิก
- ZOOM
- PLASMA ARC
การฟอกสีฟันด้วยตนเอง
เป็นการฟอกสีฟัน โดยใช้สารฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นต่ำกว่าการฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์ แต่ใช้ระยะเวลาในการฟอกสีฟันนานขึ้น มีขั้นตอนการทำ ดังนี้
- ทันตแพทย์ตรวจสุขภาพช่องปาก และบันทึกสีฟันก่อนการรักษา
- หากผิวฟันมีคราบหินปูน หรือคราบสีอาหาร จำเป็นต้องได้รับการขูดหินปูนก่อนการฟอกสีฟัน
- หากผิวฟันมีรอยผุ หรือรอยสึก ในตำแหน่งที่อาจจะมีการสัมผัสกับน้ำยาฟอกสีฟัน จำเป็นต้องได้รับการอุดซ่อมแซมก่อนการฟอกสีฟัน
- ทันตแพทย์พิมพ์ปาก เพื่อทำแบบจำลองฟัน โดยใช้เวลาในการพิมพ์ปากเพียง 2 นาที
- ช่างทันตกรรมจะทำถาดฟอกสีฟันจากแบบจำลองฟัน โดยใช้เวลา 1:30 ชั่วโมง
- ทันตแพทย์ลองถาดฟอกสีฟัน และปรับแต่งให้พอดีกับเนื้อเยื่อในช่องปากของผู้รับการรักษา
- ทันตแพทย์ แนะนำวิธีการใช้ชุดฟอกสีฟัน รวมทั้งการดูแลรักษาความสะอาด
- ผู้รับการรักษา สามารถเริ่มต้นการฟอกสีฟันด้วยตนเองที่บ้าน โดยการหยดน้ำยาลงในถาดฟอกสีฟัน และสวมใส่ถาดฟอกสีฟันไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด (½ – 2 ชั่วโมง สำหรับน้ำยา 35% และ 4 – 8 ชั่วโมง สำหรับน้ำยา 10% – 20% )
- ผู้รับการรักษา ควรฟอกสีฟันด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก ตามที่ทันตแพทย์กำหนด เพื่อประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงสีฟันตามที่ท่านคาดหวัง
ข้อควรปฏิบัติหลังเข้ารับการฟอกสีฟัน
- ควรทำความสะอาดฟัน โดยการแปรงฟันหลังมื้ออาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันการติดของสีจากอาหาร และแผ่นคราบจุลินทรีย์ลงบนผิวฟัน
- กรณีฟอกสีฟันโดยทันตแพทย์ ควรงดการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดคราบสีบนผิวฟัน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน หลังการฟอก เช่น ชา, กาแฟ, ช็อกโกแลต, ไวน์แดง และอาหารที่มีสีดำคล้ำทุกชนิด รวมทั้งควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 วัน เช่นกัน
- ในระหว่าง หรือหลังการฟอกสีฟัน 1 – 2 วัน อาจมีอาการเสียวฟันเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวฟัน โดยเฉพาะผิวฟันที่มีรอยสึก รอยร้าว หรือมีปัญหาเหงือกร่น แต่อาการดังกล่าวจะลดลง และหายได้เองภายใน 1 – 2 วัน หลังการฟอกสีฟัน
- หลังการฟอกสีฟัน ระดับสีไม่ได้ขาวคงที่ตลอดไปขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน และการดูแลทำความสะอาดสุขภาพช่องปาก การฟอกสีฟันด้วยตนเอง (Home bleaching) โดยใช้น้ำยาในปริมาณน้อยอย่างต่อเนื่องทุก 6 – 12 เดือนจะส่งผลให้ระดับสี ขาวคงที่
การทำเคลือบฟัน เป็นการเปลี่ยนผิวหน้าของฟันโดยใช้วัสดุหรือชิ้นงานทางทันตกรรม นำมายึดติดกับผิวเคลือบฟันด้านหน้าที่ได้รับการกรอแต่งแล้ว เพื่อปรับปรุงในด้านความสวยงามของสีฟัน, ผิวฟัน, รูปร่างฟันและการเรียงตัวของฟัน ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้
- ฟันที่มีการเปลี่ยนสีซึ่งเกิดจากการตายของฟัน
- ฟันดำคล้ำจากการรับประทานยาปฎิชีวนะ
- ฟันที่มีการสึกกร่อน บิ่น หรือแตกหักไม่เกินหนึ่งในสามของตัวฟันเดิม
- ฟันที่มีรูปร่างเล็กผิดปกติแต่กำเนิด
- กรณีที่มีช่องว่างระหว่างฟัน
- ฟันที่มีการเรียงตัวบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ประเภทของเคลือบฟัน
- คอมโพสิทเรซิน เป็นการใช้วัสดุอุดคอมโพสิทเรซิน ตกแต่งบนผิวหน้าฟัน ขั้นตอนการทำเหมือนกับการอุดฟันคอมโพสิทเรซิน ใช้เวลาในการทำประมาณ 40 นาที ต่อซี่
- เซรามิค มีความโปร่งแสง แลดูเป็นธรรมชาติ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าคอมโพสิทเรซิน แต่จะใช้เวลาในการทำมากขึ้น ตามขั้นตอนดังนี้
- กรอแต่งผิวฟันด้านหน้า ภายใต้ยาชาเฉพาะที่
- พิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน และส่งแบบจำลองฟันไปยังห้องแล็ป เพื่อให้ช่างทันตกรรมทำชิ้นงานเคลือบฟันเซรามิค
- ยึดติดเคลือบฟันชนิดชั่วคราว สำหรับใช้งานประมาณ 5 – 7 วัน
- หลังจาก 5 – 7 วัน ทันตแพทย์ลองชิ้นงานเคลือบฟันเซรามิค และปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาพการสบฟันของผู้รับการรักษา
- ยึดติดเคลือบฟันอย่างถาวรด้วยเรซินซีเมนต์
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลหลังเข้ารับการเคลือบผิวฟัน
- หากเคลือบฟันด้วยเซรามิค ควรหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารในตำแหน่งฟันซี่นั้นๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการยึดติด
- อาจมีอาการเสียวฟันหรือเหงือกบวมเกิดขึ้นได้ ในผู้รับการรักษาบางท่าน ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายได้เองภายในเวลาไม่นาน และท่านสามารถหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ได้โดย
• บ้วนปากด้วยน้ำเกลือหลังการแปรงฟันทุกครั้ง
• หลีกเลี่ยงการดื่ม หรือรับประทานอาหารที่เย็น หรือร้อนจัด - ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารแข็งบริเวณฟันซี่ที่ได้รับการเคลือบฟัน
- ควรทำความสะอาดโดยการแปรงฟันหลังมื้ออาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
การทำครอบฟันเป็นการบูรณะฟัน โดยใช้ชิ้นงานทางด้านทันตกรรมออกแบบให้เป็นรูปร่างฟัน และสวมทับลงบนตัวฟันที่ได้รับการกรอแต่งโดยรอบ ในกรณีต่าง ๆ เหล่านี้
- ฟันมีรอยร้าว และเริ่มมีอาการเสียวฟันขณะรับประทานอาหาร
- ฟันที่มีวัสดุอุดฟันขนาดใหญ่
- ฟันที่มีการแตกหักหรือบิ่นจากการใช้งานหรือจากอุบัติเหตุ
- ฟันที่ได้รับการรักษารากฟัน
- ฟันที่มีรูปร่างหรือเนื้อฟันผิดปกติ
- ฟันที่มีการเรียงตัวผิดปกติ
- เพื่อเป็นการฟื้นฟูและบูรณะระดับการสบฟันให้เป็นปกติ
- เพื่อเป็นส่วนประกอบในการทำสะพานฟันและฝังรากเทียม
ประเภทของครอบฟัน
ครอบฟันแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลัก คือ
- ครอบฟันเซรามิก (All Ceramic Crown) เป็นครอบฟันที่ทำด้วยเซรามิกล้วน ไม่มีส่วนของโลหะ เหมาะสำหรับฟันหน้าที่ต้องการความสวยงาม เนื่องจากมีความใส สวยงาม เหมือนธรรมชาติ
2. ครอบฟันโลหะ (All Metal Crown) เป็นครอบฟันที่ทำด้วยโลหะผสมชนิดเดียวกันทั้งชิ้น จึงมีความแข็งแรงไม่มีการแตกหัก
3. ครอบฟันโลหะเคลือบด้วยเซรามิก(Porcelain fused to metal Crown) เป็นครอบฟันที่ใช้โลหะเป็นแกนด้านใน แล้วเคลือบด้านนอกด้วยเซรามิก
ขั้นตอนการทำครอบฟัน
- กรอแต่งผิวฟันโดยรอบ ภายใต้ยาชาเฉพาะที่
- พิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน และส่งแบบจำลองฟันไปยังห้องแล็ป เพื่อให้ช่างทันตกรรมทำชิ้นงานครอบฟัน
- ยึดติดครอบฟันชนิดชั่วคราว สำหรับใช้งานประมาณ 5 – 7 วัน
- หลังจาก 5 – 7 วัน ทันตแพทย์ลองชิ้นงานครอบฟัน และปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาพการสบฟันของผู้รับการรักษา
- ยึดติดครอบฟันอย่างถาวรด้วยวัสดุยึดติดทางทันตกรรม
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลหลังเข้ารับการทำครอบฟัน
- ควรหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารแข็งในตำแหน่งฟันซี่ที่ครอบ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หลังการยึดติด
- อาจมีอาการเสียวฟันหรือเหงือกบวมเกิดขึ้นได้ ในผู้รับการรักษาบางท่าน ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายได้เองภายในเวลาไม่นาน และท่านสามารถหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ได้โดย
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือหลังการแปรงฟันทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่ม หรือรับประทานอาหารที่เย็น หรือร้อนจัด
- ควรหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารแข็ง เช่น น้ำแข็ง, กระดูกอ่อน, ถั่วแข็งๆ ในกรณีที่ใช้ครอบฟันชนิดเซรามิก หรือ โลหะเคลือบเซรามิก เพราะเซรามิกอาจบิ่นหรือแตกออกได้
- ควรทำความสะอาดโดยการแปรงฟันหลังมื้ออาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
สะพานฟัน เป็นชิ้นงานทางทันตกรรม ที่ใช้สำหรับทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยมีการครอบยึดติดกับฟันซี่ข้างเคียงทั้งสองข้าง และฟันปลอมเชื่อมอยู่ในตำแหน่งกลางของครอบฟัน
ประเภทของสะพานฟัน
สะพานฟันแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดหลัก ตามชนิดของวัสดุที่ใช้ทำครอบฟัน ดังนี้
- สะพานฟันเซรามิกล้วน (All ceramic bridge)
เป็นสะพานฟันที่ทำด้วยเซรามิกล้วน ไม่มีส่วนผสมโลหะ เหมาะสำหรับฟันหน้าที่ต้องการความสวยงาม เนื่องจากมีความใส สวยงาม เหมือนฟันธรรมชาติ - สะพานฟันโลหะล้วน (All metal bridge)
เป็นสะพานฟันที่ทำด้วยโลหะผสมชนิดเดียวกันทั้งชิ้น จึงมีความแข็งแรงทนต่อแรงบดเคี้ยวได้ดี - สะพานฟันโลหะเคลือบด้วยเซรามิก (Porcelain fused to metal bridge)
เป็นสะพานฟันที่ใช้โลหะเป็นแกนด้านใน แล้วเคลือบด้านนอกด้วยเซรามิก
ขั้นตอนการทำสะพานฟัน
- กรอแต่งฟันในตำแหน่งฟันหลัก ที่ใช้ยึดสะพานฟัน ภายใต้ยาชาเฉพาะที่
- พิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน และส่งแบบจำลองฟันไปยังห้องแล็ป เพื่อให้ช่างทันตกรรมทำชิ้นงานสะพานฟัน
- ยึดติดสะพานฟันชนิดชั่วคราว สำหรับใช้งานประมาณ 5 – 7 วัน
- หลังจาก 5 – 7 วัน ทันตแพทย์ลองชิ้นงานสะพานฟัน และปรับแต่งให้เหมาะสมกับสภาพการสบฟันของผู้รับการรักษา
- ยึดติดสะพานฟันอย่างถาวรด้วยวัสดุทางทันตกรรม
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลหลังเข้ารับการทำสะพานฟัน
- ควรหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารในตำแหน่งสะพานฟัน หลังการยึดติดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
- อาจมีอาการเสียวฟัน หรือเหงือกบวม เกิดขึ้นได้ในผู้รับการรักษาบางท่าน ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายได้เองภายในเวลาไม่นาน และท่านสามารถหลีกเลี่ยงอาการเหล่านี้ได้โดย
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หลังการแปรงฟันทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการดื่ม หรือรับประทานอาหารที่เย็นจัดหรือร้อนจัด
- ควรหลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารแข็ง เช่น น้ำแข็ง, กระดูกอ่อน, ถั่วแข็งๆ ในกรณีที่ใช้สะพานฟันชนิด เซรามิก หรือโลหะเคลือบเซรามิก เพราะเซรามิกอาจมีการบิ่นหรือแตกออกได้
- ควรทำความสะอาดโดยการแปรงฟันหลังมื้ออาหารทุกครั้งและใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
การฝังรากเทียม เป็นวิทยาการทางทันตกรรมที่ทดแทนการสูญเสียฟันธรรมชาติ โดยฝังวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายรากฟันลงบนกระดูกขากรรไกร เพื่อช่วยให้ฟันปลอมภายในช่องปาก ทั้งชนิดถอดได้และชนิดติดแน่นยึดเกาะได้ดี และมีข้อดีที่ช่วยกระจายแรงบดเคี้ยวลงบนกระดูกขากรรไกร เปรียบเสมือนรากฟันธรรมชาติที่ป้องกันไม่ให้มีการละลายตัวของกระดูกขากรรไกรจากการสูญเสียฟันไป
ทันตกรรมรากเทียมประกอบด้วย 3 ส่วนหลักที่สำคัญ คือ
- รากเทียม เป็นวัสดุที่ทำจากโลหะไททาเนียม ทำหน้าที่ทดแทนรากฟัน ซึ่งฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร และกระดูกจะสร้างเนื้อเยื่อเข้ามายึดติดกับรากเทียมได้แน่น โดยไม่ทำให้เนื้อเยื่ออักเสบ และไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ ต่อกระดูกโดยรอบ
- แกนหลัก เป็นวัสดุที่ใส่ในรากเทียม เพื่อเป็นแกนสำหรับรองรับฟันปลอม ซึ่งมีหลากหลายชนิดขึ้นอยู่กับลักษณะของฟันปลอม
- ฟันปลอม เป็นส่วนที่ลอกเลียนรายละเอียดของฟันธรรมชาติ ซึ่งอาจจะเป็นครอบฟัน, สะพานฟัน หรือ ฟันปลอมชนิดถอดได้
ประเภทของทันตกรรมรากเทียม
รากเทียม เป็นวิทยาการที่นำมาใช้ในงานทันตกรรม ได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
- ทันตกรรมรากเทียม สำหรับงานฟันปลอมชนิดติดแน่น เช่น ครอบฟัน, สะพานฟัน ใช้ระยะเวลา 3-6 เดือน
- ทันตกรรมรากเทียม สำหรับงานฟันปลอมชนิดถอดได้ เช่น ฟันปลอมอะคลิริค, ฟันปลอมโครงโลหะ ใช้ระยะเวลา 3-6 เดือน
-
ทันตกรรมรากเทียมสำหรับใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับการทำฟันปลอมเพียง 1 ซี่ ในตำแหน่งที่ไม่ได้รับแรงในการบดเคี้ยว ใช้เวลาเพียง 1 วัน-3 สัปดาห์
ขั้นตอนการทำรากเทียม
- ทันตแพทย์สอบถามถึงประวัติโรคประจำตัวและพฤติกรรมการสูบบุหรี่ เนื่องจากโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน, โรคทางกระดูกบางอย่าง, การฉายรังสีรักษาบริเวณใบหน้า หรือการสูบบุหรี่ อาจส่งผลเสียต่อการยึดติดของรากเทียม
- ทันตแพทย์ตรวจสุขภาพช่องปาก และบันทึกภาพถ่ายรังสี เพื่อประเมินถึงการดูแลสุขภาพช่องปากของคนไข้ และประเมินความหนาของกระดูกที่รองรับรากเทียม
- การผ่าตัดฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร ภายใต้ยาชาเฉพาะที่ โดยใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้น รอให้มีการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกยึดติดกับรากเทียม ประมาณ 3-6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพของกระดูกขากรรไกร
- เมื่อมีการยึดแน่นของรากเทียม ทันตแพทย์จะต่อส่วนแกนหลักเข้ากับรากเทียม และรอให้เหงือกบริเวณรอบแกนหลักปรับสภาพเนื้อเยื่อ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ทันตแพทย์พิมพ์ปากเพื่อทำฟันปลอม ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับชนิดของฟันปลอม)
- ทันตแพทย์ยึดหรือสวมใส่ฟันปลอมลงบนแกนหลัก และแนะนำวิธีการดูแลทำความสะอาด
ข้อควรปฏิบัติและการดูแลหลังการฝังรากเทียม
- ภายใน 1 สัปดาห์แรก หลังการผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อน และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- อาจมีอาการเจ็บหรือบวมบริเวณที่ทำการผ่าตัด ภายใน 1 สัปดาห์แรก ซึ่งท่านสามารถหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าวได้โดย
- ประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการผ่าตัด
- ประคบอุ่นหลังการผ่าตัด 48 ชั่วโมง
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หลังการแปรงฟันทุกครั้ง
- รับประทานยาตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
- หลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวอาหารในตำแหน่งที่ฝังรากเทียม ภายใน 3 เดือนแรก เพื่อป้องกันแรงกระแทก ที่อาจจะมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อติดกับรากเทียม
- ควรทำความสะอาด โดยการแปรงฟันหลังมื้ออาหารทุกครั้ง โดยเน้นในตำแหน่งที่ทำการฝังรากเทียมด้วยแปรงขนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติเหมือนฟันธรรมชาติ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรหลีกเลี่ยง การรับประทานอาหารที่มีความแข็ง และเหนียวมากเกินไป
- ควรตรวจสุขภาพฟันโดยทันตแพทย์ทุก 6 เดือน